อีกไม่นาน ถนนหนทางและสาธารณูปโภคต่างๆ จะปรับตัวเพื่อให้รถยนต์มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม
จากหนังสือ Resource Revolution โดย Stefan Heck, Matt Rogers และ Paul Carroll
รถยนต์จะสามารถสื่อสารกับสัญญาณจราจรได้ และจะรู้ว่าสามารถขับผ่านแยกได้ก่อนไฟแดงหรือเปล่า
รถยนต์ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่อันดับต้นๆ ของชีวิตมนุษย์ แต่เชื่อไหมว่าคนส่วนมากกลับจอดรถยนต์ส่วนตัวไว้เฉยๆ เกือบตลอดอายุขัยของรถ นับเป็นเปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ยถึง 96% ที่รถยนต์จะถูกจอดมากกว่าขับ
ทุกวันนี้การขับรถไม่ได้หมายถึงว่าคุณมีชีวิตที่ไปถึงที่หมายได้เร็วขึ้น แต่เป็นเรื่อง “อย่างอื่น” มากกว่า ในหนังสือ “Resource Revolution” ของ Stefan Heck (สเตฟาน เฮค), Matt Rogers (แมต โรเจอร์ส) และ Paul Carroll (พอล คาร์โรล) บอกไว้ว่าชาวอเมริกันสูญเสียรายได้ราว 16% ของ GDP (Gross Domestic Product หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ไปกับการนั่งนิ่งๆ หลังพวงมาลัย นี่อาจเป็นสัญญาณของการที่อุตสาหกรรมรถยนต์ต้องเริ่มปรับตัวอย่างจริงจังได้แล้ว
ในศตวรรษที่สามของการพัฒนารถยนต์ Big Data กลายเป็นส่วนสำคัญในการปรับตัว ความสามารถในการเชื่อมต่อรถยนต์ให้กลายเป็นอุปกรณ์ ซึ่งก็คืออุปกรณ์ที่เชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ต ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ได้ข้อมูลมากมายจากผู้ขับขี่ เราลองมาอัปเดตกันหน่อยว่าตอนนี้แบรนด์รถยนต์ทั้งหลายกำลังจะทำอะไร
1. มีการประมาณกันว่าทุกวันนี้มียานพาหนะที่เราใช้กันทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 3.5 พันล้านคัน ลองนึกภาพว่าหากพาหนะทุกคันสามารถเชื่อมต่อกันได้ เก็บข้อมูลทุกอย่างได้ ในหนึ่งวันเราจะได้ข้อมูลมากมายมหาศาลขนาดไหน สิ่งที่เราพูดถึงนี้กำลังจะเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน ต้องขอบคุณความสามารถของอุตสาหกรรมการผลิตเซมิคอนดัคเตอร์และโปรเซสเซอร์ที่ทำให้สิ่งเหล่านี้มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ราคาถูกลง ใช้พลังงานน้อยลง และสามารถเชื่อมโยงกับเครือข่ายไร้สายแบบต่างๆ ได้อย่างกลมกลืน ผู้ผลิตรถยนต์ทุกแบรนด์ ณ เวลานี้เข้าใจตรงกันว่าสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการก็คือ การเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ในระหว่างขับขี่และได้รับความรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ห่างหายจากโลกอินเตอร์เน็ต
ผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่ายเห็นภาพเดียวกันว่า ในอนาคต “รถ” จะไม่ใช่แค่ยานพาหนะที่เคลื่อนย้ายเราจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องผสมกลมกลืนตัวเองให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของมนุษย์ การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในรถยนต์ การทำให้ผู้โดยสารรู้สึกปลอดภัยและรับรู้ถึงความสะดวกสบาย ถือเป็นหัวใจของรถยนต์ยุคใหม่ และอีกไม่นานเราจะเห็นรถยนต์ที่ทำอะไรได้มากขึ้น ในแบบที่เราอาจจินตนาการไปไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ!

ยกตัวอย่างสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ เช่น รถยนต์อัจฉริยะที่สามารถขับเคลื่อนได้อัตโนมัติ (Auto pilot system) ซึ่งเริ่มมีให้ใช้แล้วในหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Tesla (เทสลา), Volvo (วอลโว่), BMW( บีเอ็มดับเบิลยู), Mercedes-Benz (เมอร์เซเดสเบนซ์) และ Jaguar (จาร์กัวร์) นี่เป็นผลพวงมาจากข้อมูลแผนที่ซึ่งมีมากขึ้น ช่วยทำให้รถยนต์สามารถประมวลผลและขับเคลื่อนได้โดยเองไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม และหากสมาร์ทคาร์เหล่านี้ได้ทำการขับเคลื่อนอัตโนมัติมากเท่าไร พวกมันก็จะยิ่งฉลาดขึ้นมากเท่านั้น
นอกเหนือจากฝั่งผู้ผลิตรถยนต์ บริษัทเทคโนโลยีก็เริ่มหันมาผลิตรถยนต์กับเขาบ้างเหมือนกัน เพื่อ “เปลี่ยน” รถยนต์ให้เป็นอุปกรณ์ IoT ที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์ IoT ภายในบ้านของเราได้
ในปัจจุบันแนวคิดเรื่อง Connected Car หรือการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้กับยานยนต์และการคมนาคมขนส่งเริ่มมีให้เห็นกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น Google มีแผนจะให้บริการรถยนต์ไร้คนขับในอีกไม่นานนี้ Toyota กำลังคิดแพลตฟอร์มในการให้บริการรถยนต์มินิบัสที่สามารถขนส่งคนในเมืองได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งจะทดลองใช้ในโอลิมปิคในปี ค.ศ. 2020 Apple เองก็มีแนวคิดที่จะผลิตรถยนต์เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ของของตนเองเช่นกัน
แม้ว่าบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ จะยังไม่เผยไต๋ของตัวเองออกมามากนัก แต่เราสามารถรับรู้ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงกำลังเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทุกคนรับรู้แล้วว่าอินเทอร์เน็ตสามารถทำให้พวกเขาได้ข้อมูลของลูกค้าแบบเรียลไทม์มากขึ้น และข้อมูลเหล่านี้นี่แหละคือขุมทรัพย์ ปัจจุบันค่ายรถยนต์ในยุโรปเริ่มใส่ซิมการ์ดเข้าไปในรถยนต์ ทำให้รถยนต์กลายเป็นอุปกรณ์สื่อสารซึ่งสามารถระบุพิกัด ตอบสนองการสั่งงานด้วยเสียง เช็คสภาพอากาศ ช่วยเราปรับแต่งออปชั่นต่างๆ ในรถแบบอัตโนมัติ เรียนรู้อุณหภูมิที่เราชอบ รู้จักเส้นทางที่ใช้ประจำ แจ้งเตือนเมื่อลมยางอ่อนหรือใกล้ถึงกำหนดเช็คระยะ บางยี่ห้อไปไกลถึงขั้นที่ว่ารถยนต์สามารถสั่งอะไหล่ล่วงหน้าได้เองเมื่อใกล้ถึงกำหนดที่จะต้องเปลี่ยน
นอกเหนือจากการที่ได้ข้อมูลมากมายมหาศาลแล้ว สิ่งเหล่านี้ยังทำให้ผู้ใช้รถความรู้สึกผูกพันกับรถ (และแบรนด์) มากขึ้น เพราะต้องล็อคอินเพื่อเชื่อมต่อกับรถยนต์ ท้ายสุดเมื่อผู้ใช้รถต้องการเปลี่ยนรถคันใหม่ พวกเขาก็จะคิดถึงแบรนด์ที่เคยใช้ก่อนแบรนด์อื่น

ข้อมูลที่แบรนด์รถยนต์หรือบริษัทเทคโนโลยีได้มาจากเรายังเป็นประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีก มันสามารถช่วยเราบริหารจัดการเวลาเดินทางได้ ยกตัวอย่างเช่น บริการของ Uber (อูเบอร์) ที่เชื่อมต่อเข้ากับระบบแผนที่ของ Google ทำให้คนขับสามารถหาเส้นทางที่ประหยัดเวลาที่สุด และในอนาคตเมื่อ Uber เปิดใช้บริการรถยนต์ไร้คนขับแบบสมบูรณ์แบบ รถยนต์ไร้คนขับเหล่านี้ก็จะสามารถหาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดและคำนวณระยะเวลาที่จะไปถึงจุดหมายได้อย่างแม่นยำ
2. ระบบขับเคลื่อนแบบไร้คนขับไม่เพียงแต่ปฎิวัติการเดินทาง แต่จะเป็นการปฎิวัติการใช้พลังงานด้วย ในอนาคตหากระบบขับเคลื่อนแบบไร้คนขับแพร่หลายมากขึ้น โอกาสในการเกิดอุบัติเหตุที่มาจากความประมาทของมนุษย์จะลดลง เพราะรถทุกคันจะวิ่งในอัตราความเร็วที่คงที่ แะเว้นระยะห่างระหว่างรถยนต์ได้กระชับมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่บนท้องถนน
Google ผู้สร้างระบบแผนที่การเดินทางที่ใหญ่ที่สุดในโลกมองว่า ในอนาคตหากการขนส่งสาธารณะนั้นดีมากและเข้าถึงง่ายมากขึ้นคนเราอาจไม่ต้องการครอบครองรถยนต์ส่วนตัว ลองนึกภาพถึงเครือข่ายรถไฟฟ้าใต้ดินที่เราสามารถกำหนดเวลาเดินทางได้แน่นอน แต่มินิบัสเหล่านี้จะมอบความสะดวกสบายให้เราได้มากกว่ารถไฟฟ้าใต้ดินเสียอีกเพราะสามารถมาได้ถึงหน้าบ้านและมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า ผู้ใช้งานอาจเลือกรูปแบบการจ่ายเงินได้หลากหลายกว่าด้วย
Google ยังมองไปถึงเรื่องการจัดการพลังงานของรถยนต์โดยใช้เครือข่ายของ Big Data อีกด้วย ซึ่ง ณ เวลานี้ Google ได้ร่วมมือกับบริษัทรถยนต์บางแห่งในการพัฒนาโครงข่ายการใช้พลังงานในชุมชนให้เชื่อมโยงกับรถยนต์ รถยนต์เป็นเสมือนส่วนหนึ่งของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สามารถให้พลังงานกลับคืนกับชุมชนได้ด้วย เมื่อเจ้าของรถยนต์กลับมาถึงบ้านและเชื่อมต่อรถยนต์เข้ากับระบบไฟในบ้าน รถยนต์สามารถเป็นทั้งตัวจ่ายกระแสไฟคืนกลับเข้าไปในระบบ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถชาร์จพลังงานกลับไปเก็บไว้ในตัวรถเมื่อตัวบ้านเริ่มมีการลดการใช้ไฟฟ้าลง วิธีการนี้ก็เป็นการเชื่อมโยงข้อมูลและนำมาประมวลผลใหม่เพื่อให้เกิดการใช้งานของพลังงานที่คุ้มค่ามากขึ้น นอกเหนือจาก Google ก็ยังมีบริษัทสตาร์ทอัพในอเมริกาที่กำลังพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะที่จะเชื่อมผู้ใช้งานกว่า 5,000 ล้านรายทั่วโลกเพื่อจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การบูรณาการของอุตสาหกรรมรถยนต์ครั้งนี้ ภาพใหญ่ของมันจึงไม่ใช่แค่รถยนต์ไร้คนขับหรือรถพลังงานทางเลือก แต่เป็นสิ่งจะพาโลกของเราไปไกลกว่านั้นหลายอีกหลายเท่าตัว และทั้งหมดนี้เราจะทำไม่ได้เลย หากไม่มี “มวลมหาข้อมูล” เพื่อช่วยในการกำหนดทิศทางและตัดสินใจ
อ้างอิงจาก
https://www.newgenapps.com/blog/impact-of-big-data-on-the-automotive-industry
จะเห็นได้ว่าข้อมูล Big Data นั้นมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตในยุคปัจจุบัน และการทำธุรกิจอย่างมาก หากท่านสนใจหรือมีความต้องการใช้ระบบเก็บข้อมูล Big data ScanMe SeeScore ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 099-564-5947, 096-142-9547